Skip to content

Commit

Permalink
Merge branch 'master' into add_1142
Browse files Browse the repository at this point in the history
  • Loading branch information
Phluenam authored Oct 30, 2023
2 parents 9f919ab + b1ff7e3 commit 0249c6e
Show file tree
Hide file tree
Showing 34 changed files with 802 additions and 0 deletions.
96 changes: 96 additions & 0 deletions md/1021.md
Original file line number Diff line number Diff line change
@@ -0,0 +1,96 @@
โจทย์ข้อนี้มีคำสั่ง $N$ คำสั่ง โดยคำสั่งจะมีสองแบบ

1. ใส่สินค้ามูลค่า $i$ เข้าไปในเครื่อง
2. ถามว่าสินค้าที่มีมูลค่ามากสุดในเครื่องมีมูลค่าเท่าใดหากมีและเอาออกจากเครื่อง

โจทย์ข้อนี้แก้ได้ด้วย Priority Queue ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการหาค่าสูงสุดของชุดข้อมูลที่อาจมีการเพิ่มเข้าหรือลบออก

ทั้งนี้ Priority Queue เป็นโครงสร้างข้อมูลที่มีอยู่ใน STL ซึ่งทำให้ข้อนี้แก้ได้ง่ายมากหากใช้ `std::priority_queue` โดยเพียงต้องใช้ฟังก์ชัน `push` เพื่อคำสั่งประเภทแรก และ `top` กับ `pop` สำหรับคำสั่งประเภทสอง

เนื่องจากโจทย์ข้อนี้เป็นโจทย์ที่ต้องการสอนให้รู้จักการใช้ Priority Queue เฉลยนี้จะอธิบายโครงสร้าง Binary Heap ซึ่งเป็นวิธีที่พื้นฐานที่สุดสำหรับการเขียน Priority Queue (Priority Queue มีความหมายที่กว้างกว่า Binary Heap นอกจาก Binary Heap ยังมีโครงสร้างข้อมูลอื่นที่สามารถใช้เขียน Priority Queue เช่น Fibonacci Heap หรือ Binomial Heap)

## Binary Heap

Binary Heap ที่ต้องการในข้อนี้จะต้องรองรับ Operation สองแบบคือ:
1. Push($i$) ใส่ข้อมูลที่มีค่า $i$ เข้าไปใน Heap
2. Pop() return ค่าสูงสุดใน Heap และเอาข้อมูลนั้นออกจาก Heap
โดย Operation ทั้งสองมี Time Complexity $\mathcal{O}(\log{}N)$ และการเก็บ Heap มี Memory Complexity $\mathcal{O}(N)$ (เมื่อ $N$ คือขนาดของ Heap)

### หลักการทำงานของ Heap

Heap เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เก็บในลักษณะ Complete Binary Tree ซึ่งเป็น Binary Tree ประเภทหนึ่ง

Binary Tree เป็น Tree ที่แต่ละ Node มีลูกอย่างมาก 2 ตัว

Complete Binary Tree คือ Binary Tree ที่แต่ละชั้นจะมีจำนวน Node มากสุดที่เป็นไปได้ยกเว้นชั้นสุดท้ายซึ่งจะเก็บ Node ไว้ด้านซ้ายสุดก่อน นั่นคือในชั้นที่ $h$ ของ Binary Tree ที่มีชั้น $H$ เป็นชั้นสุดท้าย จะมี Node $2^h$ ตัวหาก $h < H$ และในชั้น $H$ มีได้ตั้งแต่ $1$ ถึง $2^H$ ตัว

นอกจากนี้ Heap จะรักษาคุณสมบัติว่าสำหรับ Node $x$ ใดๆ ลูกของ Node $x$ จะมีค่าไม่เกินค่าของ Node $x$ ซึ่งจะทำให้ Node รากที่อยู่สูงสุดใน Heap เป็นค่าสูงสุดในทั้ง Heap

![](../media/1021/1.png)

ในการ Implement โครงสร้างข้อมูล Binary Heap โดยทั่วไปจะเก็บเป็น Array จากช่องที่ $1$ ถึง $N$ โดยรากอยู่ที่ $1$ และให้ลูกขวาของ Node ที่ช่อง $x$ ที่ช่อง $2x$ และลูกซ้ายอยู่ที่ $2x+1$ (สังเกตตัวเลขแดงในภาพประกอบซึ่งแทนตำแหน่งของแต่ละ Node ใน Array)

เนื่องจาก Binary Heap จัดเป็น Complete Binary Tree จะทำให้จำนวนชั้นของ Heap เป็น $\mathcal{O}(\log N)$ เมื่อ $N$ คือจำนวนสมาชิกใน Heap

#### Push

สำหรับการ Push ค่า $i$ จะใส่ค่า $i$ เข้าไปที่ตำแหน่งซ้ายสุดของชั้นสุดท้ายที่ยังว่าง หากชั้นสุดท้ายเต็มแล้วจะใส่ในช่องซ้ายสุดของชั้นใหม่ จากนั้นจะสลับค่าที่เพิ่งใส่ไปกับ Node พ่อของมันจนกว่ามันมีค่าไม่เกิน Node พ่อ

เนื่องจากมีเพียง $\mathcal{O}(\log N)$ ชั้น จะมีการสลับอย่างมาก $\mathcal{O}(\log N)$ ครั้ง ซึ่งหมายความว่า Push มี Time Complexity $\mathcal{O}(\log N)$

ตัวอย่างการใส่ 84 เข้าไปใน Heap ตัวอย่างด้านบน

![](../media/1021/push_1.png)

84 มีค่ามากกว่า 15 จึงต้องสลับ

![](../media/1021/push_2.png)

84 มีค่ามากกว่า 78 จึงสลับอีกรอล

![](../media/1021/push_3.png)

84 มีค่าไม่เกิน 90 จึงจบขั้นตอนการ Push

#### Pop

สำหรับการ Pop ค่าที่ต้องการ return คือค่าสูงสุดกล่าวคือค่าที่อยู่ที่ราก

สำหรับการเอาค่านั้นออกจาก Heap จะสลับ Node ในตำแหน่งขวาสุดของชั้นสุดท้ายมาแทนรากเก่า และสลับ Node ที่ถูกสลับขึ้นมากับลูกที่มีค่ามากสุดจน Node นั้นมีค่าไม่ต่ำกว่าลูกทั้งสอง

Pop มี Time Complexity $\mathcal{O}(\log N)$ เช่นเดียวกับ Push เนื่องจาก Heap มีเพียง $\mathcal{O}(\log N)$ ชั้น


ตัวอย่างการ Pop จาก Heap ตัวอย่างด้านบน

![](../media/1021/push_3.png)

ค่าที่รากคือ 90 ซึ่งเป็นค่าที่ต้องการ return

![](../media/1021/pop_1.png)

สลับ Node ขวาสุดของชั้นสุดท้ายขึ้นมาเป็นรากใหม่

![](../media/1021/pop_2.png)

15 มีค่าน้อยกว่า 90 จึงสลับลงไป

![](../media/1021/pop_3.png)

15 มีค่าน้อยกว่า 85 จึงสลับลงไปอีก

![](../media/1021/pop_4.png)

15 มีค่าน้อยกว่า 30 จึงสลับลงไปอีก

![](../media/1021/pop_5.png)

จบขั้นตอนการ Pop เนื่องจากไม่มีลูกให้สลับลงไปอีก

## Solution

เมื่อมี Priority Queue แล้วสำหรับแต่ละคำสั่งใน $N$ คำสั่งที่ได้ เพียวต้อง Push สำหรับ P และ Pop สำหรับ Q

แต่ละคำสั่งใช้เวลา $\mathcal{O}(\log{}N)$ ไม่ว่าจะเป็น P หรือ Q ดังนั้น Time Complexity ของข้อนี้คือ $\mathcal{O}(N\log{}N)$

ภาพประกอบทำใน https://visualgo.net/en
39 changes: 39 additions & 0 deletions md/1038.md
Original file line number Diff line number Diff line change
@@ -0,0 +1,39 @@
ข้อนี้มีภารกิจ $N \leq 20$ ภารกิจ โดยต้องทำทุกภารกิจเพียงแต่ต้องเลือกลำดับที่จะทำ

หากทำภารกิจที่ $j$ เป็นลำดับที่ $i$ จะมีโอกาสสำเร็จ $a_{(j,i)}$ โจทย์ถามว่าผลคูณความน่าจะเป็นเหล่านี้ที่เป็นไปได้มากสุดคือเท่าไหร่

### แนวคิด

ข้อนี้เป็นโจทย์ Bitmask Dynamic Programming นั่นคือเป็นโจทย์ Dynamic Programming ที่เก็บ State เป็น Bitmask

สังเกตว่าเราสามารถเก็บคำตอบของแต่ละ State เป็น $DP[S]$ ซึ่งแทนผลคูณความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จโดยที่ภารกิจที่สำเร็จแล้วคือ $S$ เมื่อ State $S=(b_{N}b_{N-1}\dots b_0)_2$ เป็นเลขฐานสองโดยที่ $b_j=1$ ถ้าเราทำภารกิจที่ $j$ แล้ว คำตอบจะเป็น $DP[2^N -1]$ เพราะ $2^N-1 = (11\dots1)_2$ (มี 1 $N$ ตัว)

เช่นถ้า $S=1010_2$ แสดงว่าทำภารกิจที่ 2 กับ 4 แล้ว

สังเกตว่าสำหรับ State $S$ จำนวนภารกิจที่ทำไปแล้วจะเท่ากับจำนวน bit ที่เป็น $1$ ให้จำนวนนี้เป็น $i_{S}$

สำหรับ $DP[0]$ สามารถตั้งเป็น 100 แทนโอกาส 100%

ในการคำนวณ $DP[S]$ สังเกตว่าจะต้องมีงานอันภารกิจ $j$ ที่ $b_j=1$ ใน $S$ ดังนั้นสามารถพิจารณาทีละงาน $j$ ดังกล่าวว่าผลคูณที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้คือเท่าไหร่ ซึ่งจะได้ว่าเป็น $a_{(j, i_{S})} DP[S - (1<<j)]$ นั่นคือผลคูณของความน่าจะเป็นเมื่อทำงาน $j$ เป็นลำดับที่ $i$ กับผลคูณความน่าจะเป็นที่มากสุดที่เป็นไปได้สำหรับ $S - (1<<j)$ (ซึ่งเป็น State $S$ ก่อนทำภารกิจที่ $j$)

ดังนั้นสำหรับแต่ละ $S$ หากมีค่า $DP[0], \dots, DP[S-1]$ แล้วจะใช้เวลาคำนวณเพียง $\mathcal{O}(N)$ เมื่อพิจารณาทีละภารกิจ

ดังนั้นเมื่อต้องพิจารณา $2^N$ State เวลาทั้งหมดที่ใช้คือ $\mathcal{O}(N2^N)$

#### ตัวอย่างโค้ด

```cpp
dp[0] = 100.0;
for (int s = 1; s <= ((1 << n) - 1); s++) {
int i = 0;
for (int j = 0; j < n; j++)
i += (((1 << j) & s) != 0);

dp[s] = 0;
for (int j = 0; j < n; j++)
if (((1 << j) & s) != 0)
dp[s] = max(dp[s], dp[s ^ (1 << j)] * a[i - 1][j] / 100.0);
}
```

ตามคำอธิบายสำหรับแต่ละ $S$ จะนับจำนวนภารกิจที่สำเร็จแล้วใน State $S$ จากนั้นจะไล่ภารกิจที่สำเร็จใน $S$ ว่าควรทำอันไหนเป็นลำดับที่ $i$
Loading

0 comments on commit 0249c6e

Please sign in to comment.